ปวดกราม สาเหตุและวิธีการรักษา

อาการปวดกรามอาจเกิดจากความผิดปกติของข้อต่อขากรรไกร (TMJ) ปัญหาเกี่ยวกับฟัน การนอนกัดฟัน ความเครียด การบาดเจ็บ และโรคประจำตัว การรู้ถึงสาเหตุของอาการปวดกรามเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากปล่อยให้เรื้อรัง อาจรบกวนกิจกรรมประจำวันและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคุณอีกด้วย ในบทความนี้เราจะมาดูสาเหตุต่างๆ ที่ก่อให้เกิดอาการปวดกราม พร้อมกับเรียนรู้แนวทางการรักษา ที่มีประสิทธิภาพเพื่อช่วยให้คุณ บรรเทาอาการปวดกรามได้ มาเริ่มกันเลย!

สารบัญ

ทำความเข้าใจกายวิภาคของกราม

ก่อนที่เราจะลงลึกถึงสาเหตุของอาการปวดกราม สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจโครงสร้างทางกายวิภาคที่ซับซ้อนก่อน ขากรรไกรหรือที่รู้จักกันว่า ข้อต่อขากรรไกร (TMJ) เป็นข้อต่อคล้ายบานพับ ที่เชื่อมต่อกระดูกกรามกับกะโหลกศีรษะ ซึ่งข้อต่อนี้ทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้ เช่น การเคี้ยว การพูด และการหาว

สาเหตุทั่วไปของอาการปวดกราม

อาการปวดกรามอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดได้แก่

  • โรคข้อต่อขากรรไกร (TMJ): โรค TMJ เป็นภาวะที่ส่งผลต่อ ข้อต่อขากรรไกร TMJ ซึ่งจะทำให้รู้สึกเจ็บปวด ตึง และเคลื่อนไหวขากรรไกรลำบาก
  • ปัญหาฟัน: ปัญหาเกี่ยวกับฟัน เช่น ฟันผุ โรคเหงือกอักเสบ และฝี ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ปวดกรามได้
  • การนอนกัดฟัน: การนอนกัดฟันหรือขบฟันมากเกินไป ซึ่งมักเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว อาจทำให้กล้ามเนื้อกรามตึง และทำให้เกิดอาการปวดได้
  • ความเครียด: ความเครียดทางอารมณ์อาจแสดงออกมาทางร่างกายในรูปแบบของอาการปวดกรามและความตึงเครียดได้
  • อาการบาดเจ็บ: การเกิดอุบัติเหตุหรือการกระแทกที่กราม อาจส่งผลให้เกิดอาการปวดเฉียบพลันหรือเรื้อรัง
  • โรคประจำตัว: เช่น โรคข้ออักเสบ อาจทำให้เกิดอาการปวดกรามได้

ความผิดปกติของข้อต่อขากรรไกร (TMJ)

ความผิดปกติของ TMJ เป็นภาวะที่แพร่หลาย โดยจะมีอาการปวดและรู้สึกไม่สบายบริเวณข้อต่อกรามและกล้ามเนื้อโดยรอบ อาจเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น การสบฟันผิดตำแหน่ง การบดฟันมากเกินไป ข้ออักเสบ หรือการบาดเจ็บที่บริเวณขากรรไกร

ปัญหาฟันและอาการปวดกราม

ปัญหาทางทันตกรรมเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของอาการปวดกราม เช่น อาการปวดฟัน การติดเชื้อที่เหงือก หรือฝีในฟัน สามารถกระจายความเจ็บปวดไปที่บริเวณกรามได้ ทำให้รับประทานอาหารหรือพูดได้ลำบาก

การนอนกัดฟัน เผลอบดฟันโดยไม่รู้ตัว

การนอนกัดฟันเป็นภาวะที่บุคคลหนึ่งกัดฟันหรือบดฟันโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมักเกิดขึ้นระหว่างการนอนหลับ ซึ่งแรงกดบนกล้ามเนื้อกรามอย่างต่อเนื่องอาจทำให้ปวดกรามและปวดศีรษะได้

ความเครียดและผลกระทบต่ออาการปวดกราม

ความเครียดอาจแสดงอาการต่างๆ ออกมาทางร่างกาย ซึ่งอาการปวดกรามก็เป็นหนึ่งในอาการนั้น เมื่อเราเครียด เรามักจะเกร็งกล้ามเนื้อขากรรไกร เลยทำให้รู้สึกไม่สบายและปวดกราม

อาการบาดเจ็บที่ขากรรไกร

อุบัติเหตุหรืออาการบาดเจ็บที่ส่งผลต่อบริเวณกราม อาจส่งผลให้เกิดอาการปวดกรามเฉียบพลันหรือเรื้อรังได้ การแตกหัก การเคลื่อนตัว หรือการบาดเจ็บของเนื้อเยื่ออ่อน ก็สามารถนำไปสู่ปัญหานี้ได้เช่นกัน

โรคประจำตัวและอาการปวดกราม

โรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคข้ออักเสบและโรคแพ้ภูมิตัวเอง อาจทำให้เกิดการอักเสบและปวดที่ข้อต่อกราม

ระบุสาเหตุและการจัดการปัญหา

การระบุสาเหตุของอาการปวดกรามเป็นสิ่งสำคัญในการหาวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ เช่น การจดบันทึกสิ่งที่ทำในแต่ละวัน ระดับความเครียด และพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ก็สามารถช่วยระบุตัวกระตุ้นที่ทำให้ความเจ็บปวดรุนแรงขึ้นได้ เมื่อระบุได้แล้ว ก็สามารถหลีกเลี่ยงหรือจัดการตัวกระตุ้นเหล่านี้ได้

วิธีแก้ไขอาการปวดกรามด้วยตนเอง

มีวิธีหลายอย่างที่สามารถทำเพื่อบรรเทาอาการปวดกราม ได้แก่

  • ประคบเย็นหรือประคบร้อนบริเวณที่มีอาการ
  • ออกกำลังบริเวณกรามเบา ๆ
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่แข็งและเคี้ยวยาก
  • ฝึกผ่อนคลายความเครียด เช่น การทำสมาธิหรือโยคะ
  • ทานยาแก้ปวดที่ร้ายขายยา (ตามปริมาณที่เภสัชกรแนะนำ)

การรักษาอาการปวดกรามแบบมืออาชีพ

สำหรับกรณีที่มีอาการปวดกรามรุนแรง ควรขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งบางวิธีรักษาอาจรวมไปถึง

  • วิธีทางการแพทย์: รักษาปัญหาทางทันตกรรมที่ส่งผลกระทบกับการปวดกราม เช่น การอุดฟัน การอุดคลองรากฟัน หรือการถอนฟัน
  • เฝือกสบฟัน: หากการนอนกัดฟันเป็นสาเหตุของการเกิดโรค ทันตแพทย์สามารถจัดทำเฝือกสบฟันที่ออกแบบเฉพาะบุคคล เพื่อป้องกันการนอนกัดฟันได้
  • กายภาพบำบัด: กายภาพบำบัดสามารถช่วยเพิ่มความคล่องตัวของกรามและลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ
  • ยารักษา: ในบางกรณี อาจมีการสั่งจ่ายยา เช่น ยาคลายกล้ามเนื้อหรือยาต้านการอักเสบ
  • การฉีดยา: สามารถฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบที่ข้อต่อกรามได้

บทบาททางกายภาพบำบัด

กายภาพบำบัดมีบทบาทสำคัญในการรักษาอาการปวดกราม นักบำบัดจะใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อปรับการเคลื่อนไหวของกราม เสริมสร้างกล้ามเนื้อ และบรรเทาอาการปวด

การเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตเพื่อบรรเทาอาการปวดกราม

การเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตอาจส่งผลต่อการบรรเทาอาการปวดกรามอย่างเห็นได้ชัด ได้แก่

  • การรับประทานอาหารอ่อน: เลือกรับประทานอาหารอ่อน เพื่อลดความตึงเครียดที่กราม
  • หลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่ง: การเคี้ยวหมากฝรั่งอาจทำให้อาการปวดกรามแย่ลงได้ ดังนั้น ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยง
  • การลดความเครียด:สามารถลดความตึงเครียดของกรามได้
  • การจัดตำแหน่งของกรามให้เหมาะสม: หากกรามอยู่ผิดตำแหน่ง การจัดวางให้กรามอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้

วิธีป้องกันเพื่อการบรรเทาอาการในอนาคต

การป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดกรามดีกว่าการมาตามรักษาทีหลัง
วิธีป้องกัน ได้แก่

  • ตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำ: ไปพบทันตแพทย์เป็นประจำเพื่อตรวจสุขภาพฟันตั้งแต่เนิ่นๆ
  • ใส่เฝือกสบฟัน: หากมีอาการนอนกัดฟัน ให้ลองใส่เฝือกสบฟัน เพื่อป้องกันการนอนกัดฟัน
  • จัดการความเครียด: ลองคลายความเครียดลง เพื่อป้องกันความตึงเครียดของกราม

บทสรุป

อาการปวดกรามอาจเป็นอุปสรรคสำคัญในชีวิตประจำวัน แต่การทำความเข้าใจสาเหตุของมันและการหาวิธีการรักษาที่เหมาะสมก็จะช่วยบรรเทาอาการได้ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีใช้ชีวิต แก้ไขอาการปวดกรามด้วยตนเอง หรือเข้ารับการรักษาจากแพทย์ มีตัวเลือกมากมายที่สามารถจัดการกับอาการปวดกรามได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากอาการปวดยังมีอยู่หรือแย่ลง แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ


คำถามที่พบบ่อย

อะไรคือสาเหตุของอาการปวดกรามที่พบบ่อย

อาการปวดขากรรไกรอาจเกิดจากความผิดปกติของ TMJ ปัญหาเกี่ยวกับฟัน การนอนกัดฟัน ความเครียด การบาดเจ็บ และโรคประจำตัว

ฉันจะจัดการกับอาการเจ็บกรามได้อย่างไร

การบันทึกประจำวันเพื่อหาตัวที่กระตุ้นอาการ จากนั้นให้หลีกเลี่ยงก็สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดกรามได้

ฉันสามารถลองวิธีรักษาด้วยตนเองที่บ้านเพื่อบรรเทาอาการปวดกรามได้หรือไม่

ได้  คุณสามารถลองวิธีรักษาด้วยตนเองที่บ้านได้ เช่น การประคบร้อนหรือเย็น บริหารกราม และฝึกการคลายเครียด

ฉันควรเข้ารับการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาการปวดกรามเมื่อใด

แนะนำให้พบผู้เชี่ยวชาญ หากอาการปวดกรามของคุณรุนแรง ต่อเนื่อง หรือรบกวนกิจกรรมประจำวัน

มีวิธีป้องกันอาการปวดกรามในอนาคตหรือไม่

มี การตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำ การใช้เฝือบสบฟัน และการจัดการความเครียดสามารถป้องกันอาการปวดกรามในอนาคตได้

คำเตือน: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและให้ความรู้ในเรื่องสุขภาพช่องปากทั่วไป ไม่ได้ใช้เพื่อแทนคำแนะนำ การวินิจฉัย หรือการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรม หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับอาการหรือการรักษาทางการแพทย์ โปรดขอคำแนะนำจากทันตแพทย์หรือผู้ให้บริการด้านสุขภาพที่มีคุณสมบัติเหมาะสม